ONLINE SERVICES
TRACK YOUR CONTAINER »

จดหมายเปิดผนึก จาก Mr. Stephen Ashworth กรรมการผู้จัดการ Hutchison Ports ประเทศไทย

เรื่อง – เทคโนโลยีอัตโนมัติกลายเป็นส่วนสำคัญของท่าเทียบเรือชุด D ขณะที่ตลาดการค้าทั่วโลกในปี 2021 แสดงแนวโน้มการฟื้นตัว

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ Hutchison Ports ดำเนินธุรกิจท่าเทียบเรือขนส่งตู้สินค้า ในท่าเรือแหลมฉบัง ประเทศไทย ท่าเรือ Thilawa เมียนมาร์ และท่าเรือ Tanjung Priok ในเมือง Jakarta อินโดนีเซีย พร้อมกันนี้ เรายังให้ความสนใจในการดำเนินธุรกิจ ท่าเทียบเรือขนส่งตู้สินค้าที่ WestPorts ภายใน Port Klang ประเทศมาเลเซีย และท่าเทียบเรือขนส่งสินค้าทั่วไป ที่ Cai Mep-Thi Vai ในเวียดนามอีกด้วย

ในช่วงต้นของวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ปริมาณการบริโภคสินค้าทั่วโลกหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ยกเว้น ท่าเรือ Cai Mep-Thi Vai ที่มีปริมาณตู้สินค้าเพิ่มขึ้น 18 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปริมาณตู้สินค้าในปี 2019 ส่วนท่าเทียบเรืออื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เราดำเนินธุรกิจอยู่ ล้วนแล้วแต่มีปริมาณตู้สินค้าลดลง เมื่อเทียบกันแบบปีต่อปีในสัดส่วนที่แตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น ปริมาณตู้สินค้าที่ท่าเทียบเรือของเราในท่าเรือแหลมฉบัง ลดลง 5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ท่าเทียบเรือ ที่ Tanjung Priok มีปริมาณตู้สินค้าลดลงถึง 11 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับปริมาณตู้สินค้าในปี 2019

 

West Port, Malaysia.

อย่างไรก็ตาม ปี 2021 กลับมาพร้อมสภาพการณ์ที่เหนือความคาดหมาย เมื่อท่าเทียบเรือส่วนใหญ่ของ Hutchison Ports ในภูมิภาคมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าดีดตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สืบเนื่องมาจากปริมาณการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวขึ้น อันเป็นผลพวงของความต้องการบริโภคในภูมิภาคอเมริกาเหนือและยุโรป ซึ่งหันมาใช้เงินจับจ่ายซื้อสินค้าแทนการท่องเที่ยว เนื่องจากข้อจำกัดด้านการออกจากเคหะสถาน

ยกตัวอย่างเช่น ที่ท่าเทียบเรือ Hutchison Ports Thailand ท่าเรือแหลมฉบัง เราเห็นปริมาณการขนส่งสินค้าในเส้นทางระหว่างเอเซีย – ยุโรปและอเมริกา และเส้นทาง Intra-Asia ที่กำลังขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี กระแสปริมาณสินค้าที่ดีดตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ก็ส่งผลให้เกิดปัญหาในการวางแผนและปฏิบัติงาน และมีผลกระทบเป็นโดมิโน่ เช่น ผลกระทบจากปัญหาเรือเข้าเทียบท่าล่าช้าจากกำหนด และต้องการเข้าเทียบท่าภายในวันเดียวกัน

 

Myanmar International Terminal Thilawa (MITT).

ขณะที่ท่าเทียบเรืออื่นๆ มีปริมาณสินค้าเพิ่มมากขึ้น แต่ท่าเทียบเรือของเราในเมียนมาร์ กลับพลาดโอกาสเนื่องจากวิกฤตการเมืองภายในของเมียนมาร์ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยยะสำคัญต่อกระแสการค้าทั้งขาเข้าและขาออกจากประเทศ และ แม้ว่าเรายังให้เปิดให้บริการตามปกติ แต่สายการเดินเรือหลายแห่งต่างก็ลดปริมาณการเข้าเทียบท่าในเมียนมาร์ เนื่องจากปริมาณสินค้าที่ลดลง

ในขณะที่อุบัติเหตุเรือขนาดใหญ่ขวางคลองสุเอซ ที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจท่าเทียบเรือในภูมิภาคของเราอย่างมีนัยยะ หากแต่เมื่อพิเคราะห์ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 การหยุดชะงักของกระแสการค้า และกลยุทธ์ของสายการเดินเรือในการนำเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ขึ้นมาให้บริการ ก็จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนว่า การปรับใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเข้ากับทำงานของท่าเทียบเรือของเรา สามารถช่วยผลักดันประสิทธิภาพการทำงาน รวมทั้งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดเหตุที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

ก่อนหน้าวิกฤตการณ์เช่นในปัจจุบัน ท่าเทียบเรือ D ของ Hutchison Ports Thailand ซึ่งเป็นหนึ่งในท่าเทียบเรือหลักของกลุ่มบริษัท Hutchison Ports Group เป็นท่าเทียบเรือที่เปิดรับ และปรับใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย ด้วยวิสัยทัศน์ก้าวหน้าสู่อนาคตอยู่แล้ว

เนื่องจาก ท่าเทียบเรือ D ได้รับการวางแผนและก่อสร้างขึ้นบนโครงสร้างพื้นฐานที่มุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ฝ่ายพัฒนาปฏิบัติการและทีม IT ของเราจึงสามารถวางแผนและออกแบบการทำงานของท่าเทียบเรือฯ โดยมีรากฐานบนเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ปฏิบัติการเพื่อความยั่งยืนตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ การออกแบบพื้นที่หน้าท่าเทียบเรือ กอปรกับปั้นจั่นยกตู้สินค้าขนาด Super Post Panamax ที่ทำงานด้วยการควบคุมจากระยะไกล ก็อำนวยให้เราสามารถรองรับเรือขนส่งตู้สินค้าขนาดใหญ่ที่สุดที่ปฏิบัติการอยู่ในปัจจุบันได้

เมื่อเทคโนโลยีดังกล่าว ผนวกเข้ากับเทคโนโลยีเสริมประสิทธิภาพในการทำงานอื่นๆ ในอนาคตอันใกล้นี้ เราวางหมุดหมายว่าประสิทธิภาพการทำงาน ความปลอดภัย และความแม่นยำในกระบวนการปฏิบัติงานของท่าเทียบเรือ D จะเพิ่มพูนขึ้นไปพร้อมกับศักยภาพของท่าเทียบเรือฯ ที่จะได้รับการพัฒนาจนเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะสามารถรองรับตู้สินค้าได้มากกว่า 3.5 ล้านทีอียู

 

Hutchison Ports Thailand’s Terminal D.

โดยหนึ่งในเทคโนโลยีเสริมประสิทธิภาพปฏิบัติการที่เราเปิดรับ เพื่อปรับใช้กับท่าเทียบเรือ D คือเทคโนโลยีรถหัวลากตู้สินค้าอัตโนมัติรุ่นล่าสุด หลายท่านได้สอบถามผมเกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการทดสอบรถหัวลากตู้สินค้าอัตโนมัติจำนวนหกคัน ซึ่งได้รับการส่งมอบที่ท่าเทียบเรือ D เมื่อปีที่ผ่านมา รถหัวลากตู้สินค้าพลังงานไฟฟ้าเหล่านี้ มีการติดตั้งระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ พร้อมกับเซ็นเซอร์ LiDAR และกล้องความชัดสูง สำหรับตรวจจับวัตถุแวดล้อม และหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุขณะปฏิบัติการ

อีกทั้ง ระบบ GPS ยังช่วยให้รถหัวลากตู้สินค้าระบุตำแหน่งของเส้นทางและจุดหมายอย่างแม่นยำ เมื่อทำงานร่วมกับระบบประมวลผลแบบปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งผนวกเข้ากับระบบปฏิบัติการ ‘nGen’ ของท่าเทียบเรือฯ รถหัวลากตู้สินค้าอัตโนมัติเหล่านี้ สามารถวางแผนเส้นทางสู่จุดหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ท่าเทียบเรือ D ยังได้มีการติดตั้งป้ายจราจร และแยกช่องจราจรอย่างชัดเจนสำหรับรถหัวลากตู้สินค้าทั่วไป และรถหัวลากตู้สินค้าอัตโนมัติ ซึ่งต้องปฏิบัติการภายใต้กฎการจราจรเดียวกัน

 

The autonomous truck in operation at Hutchison Ports Thailand Terminal D.

ขณะนี้ ผลลัพธ์ของโครงการทดสอบฯ มีแนวโน้มในทิศทางที่ดี นับตั้งแต่เริ่มต้นทดสอบจนถึงปัจจุบัน ฝูงรถหัวลากตู้สินค้าอัตโนมัติทั้งหกคันมีส่วนร่วมในการยกขนตู้สินค้าไปแล้วประมาณ 12,000 ตู้  และมีความเป็นไปได้ที่เราอาจพิจารณาสั่งซื้อรถหัวลากตู้สินค้าอัตโนมัติเพิ่มเติม เพื่อนำมาทำงานควบคู่ไปกับกองรถหัวลากตู้สินค้าทั่วไป ณ ท่าเทียบเรือ D ซึ่งผมจะคอยรายงานให้ทุกท่านได้ทราบถึงความคืบหน้าของโครงการพิเศษนี้ต่อไป

นับจากนี้ ผมมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าธุรกิจท่าเทียบเรือและการขนส่งตู้สินค้าของเรามีแนวโน้มที่จะกลับมาสดใส แน่นอนว่าการเปลี่ยนผ่านวิธีการดำเนินงานสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล และการปรับใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติ เป็นแนวทางของการปรับตัวเข้ากับความท้าทายที่มาในรูปของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปริมาณสินค้าที่เพิ่มขึ้น การเพิ่มพูนประสิทธิภาพการปฏิบัติการ การใช้เรือขนส่งตู้สินค้าขนาดใหญ่ขึ้น รวมไปถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดอย่างเช่นวิกฤตโรคระบาดในขณะนี้  ผู้ประกอบการท่าเทียบเรือก็จำเป็นต้องพิจารณาสร้างสมดุลระหว่างความต้องการลงทุนในเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และการสร้างผลกำไรโดยรวมจากการลงทุน

Stephen Ashworth

กรรมการผู้จัดการ Hutchison Ports ประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้